2024-09-10

สถาปนิก vs นักออกแบบภายใน แตกต่างกันยังไง อันไหนเงินดีกว่ากัน

ในงานสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งภายใน สถาปนิกและนักออกแบบภายใน เป็นสองวิชาชีพที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์พื้นที่ที่ใช้งานให้ดีและสวยงาม อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอาชีพมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในแง่ของขอบเขตการทำงาน ความเชี่ยวชาญ และวิธีการทำงาน โดยสถาปนิกจะเน้นที่การออกแบบโครงสร้างและระบบพื้นฐานของอาคาร ส่วนงานของนักออกแบบภายในจะเกี่ยวข้องกับการจัดการพื้นที่ภายในเพื่อให้เกิดความสมดุลและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน

8 ความแตกต่างระหว่างสถาปนิกและนักออกแบบภายใน

    1. ขอบเขตงาน
    2. การศึกษาและใบอนุญาต
    3. ความรับผิดชอบด้านกฎหมาย
    4. ลักษณะงาน
    5. รายได้
    6. การใช้เครื่องมือการออกแบบ
    7. กระบวนการทำงาน
    8. การประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ
interior designer

1. ขอบเขตงาน

สถาปนิก

สถาปนิกมีหน้าที่รับผิดชอบในการออกแบบโครงสร้างอาคารตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาจะต้องวางแผนพื้นที่ทางกายภาพ การจัดโครงสร้างพื้นฐานและการใช้วัสดุที่เหมาะสม สถาปนิกจะต้องคำนึงถึงทั้งความปลอดภัย การใช้งานจริง และความสวยงามของอาคาร นอกจากนี้สถาปนิกยังต้องพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ซึ่งรวมถึงกฎหมายด้านอาคาร กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และข้อกำหนดอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าอาคารที่ออกแบบจะสามารถสร้างได้อย่างถูกต้องตามกฎข้อบังคับ

นักออกแบบภายใน (อินทีเรียดีไซน์เนอร์)

นักออกแบบภายในทำงานเกี่ยวกับการปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว โดยเน้นเรื่องความสวยงาม ความสะดวกสบาย และการใช้พื้นที่อย่างเหมาะสม พวกเขาจะพิจารณาเรื่องของเฟอร์นิเจอร์ วัสดุตกแต่ง การเลือกสี และการจัดวางสิ่งของต่างๆ เช่นเลือกสีและจัดพื้นที่สำหรับออกแบบบ้าน เพื่อให้ได้บรรยากาศที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า

2. การศึกษาและใบอนุญาต

สถาปนิก

สถาปนิกจำเป็นต้องผ่านการศึกษาระดับปริญญาด้านสถาปัตยกรรม รวมถึงต้องมีการฝึกงานตามข้อกำหนดและผ่านการสอบใบอนุญาตเพื่อประกอบวิชาชีพจากสภาสถาปนิก ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่มีความเข้มงวดในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย นอกจากนี้ สถาปนิกยังต้องอัปเดตกฎหมายและมาตรฐานในการก่อสร้างที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

นักออกแบบภายใน (อินทีเรียดีไซน์เนอร์)

สำหรับความแตกต่างด้านการศึกษา นักออกแบบตกแต่งภายในควรศึกษาด้านการออกแบบภายในหรือมัณฑนศิลป์โดยตรง อย่างไรก็ตามไม่ได้มีข้อบังคับว่าต้อต้องมีใบประกอบวิชาชีพ เว้นแต่จะเป็นการออกแบบตกแต่งภายในสำหรับอาคารขนาดใหญ่หรือในโครงการที่มีการควบคุมทางกฎหมายเฉพาะ

interior designer

3. ความรับผิดชอบด้านกฎหมาย

สถาปนิก

สถาปนิกจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำให้แน่ใจว่าอาคารที่พวกเขาออกแบบนั้นเป็นไปตามกฎหมายด้านความปลอดภัย การก่อสร้าง และสิ่งแวดล้อม พวกเขาต้องพิจารณาถึงโครงสร้างที่มั่นคง และสามารถรองรับผู้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังต้องปฏิบัติตามข้อบังคับท้องถิ่น เช่น ข้อบังคับด้านไฟและการอพยพ เพื่อให้การก่อสร้างปลอดภัยต่อชีวิตของผู้ใช้งาน

นักออกแบบภายใน (อินทีเรียดีไซน์เนอร์)

นักออกแบบภายในมีความรับผิดชอบต่อการออกแบบที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับการใช้งาน แต่ไม่มีความรับผิดชอบด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของอาคาร การตกแต่งภายในแค่ต้องมั่นใจว่าการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบภายในจะไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรือคำนึงถึงเรื่องของโครงสร้างหรือกฎหมายด้านโครงสร้างมากนัก

4. ลักษณะงาน

สถาปนิก

สถาปนิกต้องทำงานตั้งแต่การเริ่มออกแบบแนวคิด วางแผน และสร้างแบบแปลนที่ละเอียดอ่อน ซึ่งรวมถึงการประสานงานกับวิศวกรและผู้รับเหมาเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะสำเร็จได้อย่างถูกต้องตามแผน นอกจากนี้ สถาปนิกยังต้องดูแลการก่อสร้างในขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ได้ผลงานที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าและเป็นไปตามกฎหมาย

นักออกแบบภายใน (อินทีเรียดีไซน์เนอร์)

ลักษณะงานของนักออกแบบภายในเริ่มต้นหลังจากที่การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ โดยพวกเขาจะปรับปรุงการออกแบบพื้นที่ภายในให้สวยงามและใช้งานได้ดี ซึ่งงานนี้รวมถึงการเลือกใช้วัสดุ การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ และการออกแบบตกแต่งภายในเพื่อให้บรรลุความต้องการของลูกค้า

interior designer

5. รายได้

สถาปนิก

รายได้ของสถาปนิกในประเทศไทยเริ่มต้นที่ประมาณ 25,000 - 45,000 บาทต่อเดือน และมีโอกาสที่จะสูงขึ้นตามประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่หรือโครงการที่มีความซับซ้อน สถาปนิกที่มีชื่อเสียงและทำงานในระดับสากลสามารถสร้างรายได้ที่สูงกว่าเกณฑ์นี้อย่างมาก

นักออกแบบภายใน (อินทีเรียดีไซน์เนอร์)

แน่นอนว่ามีความแตกต่างด้านเงินเดือน นักออกแบบภายในมีรายได้เริ่มต้นที่ 25,000 - 38,000 บาทต่อเดือน รายได้อาจต่ำกว่าสถาปนิกในบางกรณี แต่ถ้าทำงานในโครงการที่มีมูลค่าสูงหรือลูกค้าชั้นนำ รายได้ของนักออกแบบภายในก็สามารถเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

6. การใช้เครื่องมือการออกแบบ

สถาปนิก

สถาปนิกใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนสูงในการออกแบบโครงสร้าง เช่น AutoCAD, Revit, และ SketchUp ซึ่งสามารถสร้างแบบแปลนสามมิติและจำลองโครงสร้างได้อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าการออกแบบนั้นถูกต้องทั้งในด้านความปลอดภัยและความสวยงาม

นักออกแบบภายใน (อินทีเรียดีไซน์เนอร์)

นักออกแบบภายในใช้เครื่องมือในการออกแบบหรือโปรแกรมออกแบบเช่น โปรแกรมออกแบบบ้าน ที่เน้นความสวยงามและการตกแต่ง เช่น 3D Max, Photoshop, และ Illustrator เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการสร้างภาพลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเจนก่อนเริ่มตกแต่งจริง และสามารถสื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับบรรยากาศที่ต้องการสร้างขึ้น

interior designer

7. กระบวนการทำงาน

สถาปนิก

กระบวนการทำงานของสถาปนิกเริ่มต้นจากการพูดคุยกับลูกค้าเพื่อทำความเข้าใจความต้องการ จากนั้นจึงออกแบบแนวคิด วางแผน และสร้างแบบแปลน ก่อนจะเริ่มต้นกระบวนการก่อสร้างจริง พวกเขาต้องประสานงานกับวิศวกรและผู้รับเหมาอย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการ

นักออกแบบภายใน (อินทีเรียดีไซน์เนอร์)

นักออกแบบภายในหรือมัณฑนากรมักเริ่มทำงานหลังจากที่โครงสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยพวกเขาจะทำหน้าที่ออกแบบตกแต่งภายในและจัดวางเฟอร์นิเจอร์ตามที่ได้ตกลงกับลูกค้า ซึ่งงานนี้มักต้องประสานงานกับช่างฝีมือและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์เพื่อให้ผลงานออกมาตรงตามแผนที่วางไว้

8. การประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ

สถาปนิก

การทำงานของสถาปนิกมักต้องมีการประสานงานหรือทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยสถาปนิกจะต้องทำงานร่วมกับ วิศวกรโครงสร้าง ซึ่งรับผิดชอบในการตรวจสอบความมั่นคงและความปลอดภัยของอาคาร นอกจากนี้ยังต้องร่วมมือกับ วิศวกรระบบไฟฟ้าและประปา เพื่อให้แน่ใจว่าระบบพื้นฐานต่างๆ ในอาคารทำงานได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งต้องทำงานร่วมกับ ผู้รับเหมา และ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง เพื่อเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม ทั้งในด้านราคา ความทนทาน และความสวยงาม

นักออกแบบภายใน (อินทีเรียดีไซน์เนอร์)

นักออกแบบภายในจะต้องทำงานร่สมกันกับ ช่างฝีมือ หลายประเภท เช่น ช่างไม้ ช่างทาสี ช่างไฟฟ้า และช่างปูกระเบื้อง เพื่อให้มั่นใจว่าการตกแต่งภายในเป็นไปตามแผนที่กำหนด นักออกแบบภายในยังต้องทำงานร่วมกันกับ ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ ซัพพลายเออร์วัสดุตกแต่ง และอื่นๆที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวกับโปรเจกต์นั้น เพื่อให้การจัดหาวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกไว้เป็นไปตามกำหนดเวลาและความต้องการของลูกค้า ความสามารถในการประสานงานกับทุกฝ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้งานออกแบบภายในประสบความสำเร็จ